ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์ ชื่อเต็ม เจมส์ ฟิลิป มิลเนอร์
ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์ ชื่อเต็ม เจมส์ ฟิลิป มิลเนอร์ เกิดเมื่อวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1986 เป็นนักฟุตบอลอาชีพชาวอังกฤษ ปัจจุบันเล่นในตำแหน่งปีก และกองกลางให้กับ ลิเวอร์พูล ในพรีเมียร์ลีก และเคยติดทีมชาติอังกฤษ เคยผ่านประสบการณ์มากมายในการเล่นให้กับต่างๆในพรีเมียร์ลีก
ชื่อ : เจมส์ ฟิลิป มิลเนอร์
วันเกิด : 4 มกราคม ค.ศ. 1986
ความสูง : 1.76 เมตร
สโมสรต้นสังกัด : ลิเวอร์พูล
สัญชาติ : อังกฤษ
ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์ เจมส์เกิดมาเพื่อแม่ของเขา เลสลีย์ มิลเนอร์ (ตัวแทนอสังหาริมทรัพย์) และพ่อของเขา ปีเตอร์ มิลเนอร์ (นักสำรวจปริมาณ) มิลเนอร์มีความสามารถหลายอย่างตั้งแต่ยังเด็ก ตามหลักการแล้วพรสวรรค์ของเขาในฟุตบอลคริกเก็ตและการวิ่งระยะไกลเป็นที่รู้จักตั้งแต่อายุยังน้อย เขาเล่นให้กับทีมคริกเก็ต Yorkshire Schools ในฐานะผู้รักษาประตู เมื่อตอนเป็นเด็ก เขายังเป็นแชมป์ของนักวิ่งครอสคันทรีและนักวิ่งระยะกลางและนักวิ่งระยะสั้นอีกด้วย การได้รับเกียรติเหล่านี้ปูทางไปสู่แนวทางในอุดมคติสำหรับนักฟุตบอลที่คลั่งไคล้ความสบายทั้งบนปีกทั้งสองข้างและแทบทุกที่ในสนาม
ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสรลีดส์ ยูไนเต็ด
ฤดูกาล 2002 – 2004
มิลเนอร์ ลงสนามกับ “ลีดส์ ยูไนเต็ด” เป็นครั้งแรกในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2002 โดยลงสนามเป็นสำรองแทนที่ของ เจสัน วิลค็อกซ์ ในช่วงหกนาทีสุดท้ายของเกม และทำให้เขาเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดอันดับสองที่ลงเล่นในศึกพรีเมียร์ลีก ด้วยวัยเพียง 16 ปีกับอีก 309 วัน โดยในวัน บ็อกซิ่งเดย์ เขากลายเป็นนักเตะที่อายุน้อยที่สุดที่สามารถยิงประตูได้ในพรีเมียร์ลีก ด้วยอายุ 16 ปีกับอีก 356 วัน และช่วยให้ทีมเอาชนะ ซันเดอร์แลนด์ ทำลายสถิติเดิมของ เจมส์ วอห์น แข้งเยาวชนจากสโมสร เอฟเวอร์ตัน
หลังจากลงสนามช่วยทีมมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้เขาได้รับรางวัลด้วยการต่อสัญญาไปอีก 5 ปีในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ 2003 ซึ่งหลังจากนั้นเข้าสู่ฤดูกาล 2003-04 เขาได้ถูกปล่อยยืมให้กับ สวินดอน ทาวน์ ทีมใน ลีก ทู ใช้งานเพื่อเก็บประสบการณ์ในฐานะผู้เล่นตัวจริงเป็นเวลา 1 เดือน ซึ่งได้ลงเล่นถึง 6 เกมและยิงได้ 2 ประตูกับ ปีเตอร์โบโร่ ยูไนเต็ด และ ลูตัน ทาวน์
ในท้ายที่สุดปัญหาการเงินในสโมสรบานปลายจนทำให้ มิลเนอร์ ถูกขายให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ด้วยค่าตัวราว ๆ 3.6 ล้านปอนด์ (ประมาณ 191 ล้านบาท) แม้ว่าเจ้าตัวจะไม่มีความสุขกับการที่สโมสรปล่อยตัวเขาออกจากทีมก็ตาม ซึ่งในวันเดือน กรกฎาคม 2004 เขาได้ตกลงเซ็นสัญญากับ “สาลิกาดง” เป็นเวลา 5 ปีด้วยกัน
ฤดูกาล 2004-2005
มิลเนอร์ ลงสนามเป็นนัดแรกให้กับ นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด ในระหว่างทัวร์ปรีซีซั่นที่เอเชีย และยิงประตูแรกได้ในเกมที่เสมอกับ คิตฉี 1-1 โดยเขาลงสนามเป็นเกมแรกในพรีเมียร์ลีก พบกับ มิดเดิ้ลสโบรช์ เมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2004 ซึ่งเขาระเบิดฟอร์มในการเล่นเป็นปีกขวาได้อย่างสุดยอด แม้ว่าเขาจะเล่นเป็นปีกซ้ายในสมัยที่อยู่กับ ลีดส์ ก็ตาม
สถานการณ์ของ มิลเนอร์ ต้องเปลี่ยนไปอีกครั้ง หลังจากการเข้ามาคุมทีมของ แกรม ซูเนสส์ ทำให้เขาได้รับโอกาสลงสนามเพียง 13 เกม และยังไม่ได้เล่นเป็นตัวจริงในพรีเมียร์ลีกของ นิวคาสเซิ่ล อีกด้วยจนกระทั่งถึงเดือน เมษายน 2005 ซึ่งหลังจบฤดูกาลเขาลงสนามให้ทีมทั้งสิ้น 41 นัดในทุกรายการและยิงประตูเพียง 1 ลูกเท่านั้น
ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสรแอสตัน วิลล่า
ฤดูกาล 2005-2006
มิลเนอร์ ลงสนามเปิดตัวกับ วิลล่า เมื่อวันที่ 12 กันยายน 2005 ในศึกพรีเมียร์ลีกพบกับ เวสต์แฮม ยูไนเต็ด ซึ่งหลังจากนั้น 5 วันต่อมา เขาสามารถทำประตูแรกได้เลย ให้ทีมเสมอกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ และเขาพยายามที่จะแสดงผลงานให้ดี เพื่อให้ วิลล่า ยื่นข้อเสนอซื้อขาดเขากับทาง นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
แต่ภายหลังจากที่สโมสรต้นสังกัดเดิมของเขามีการเปลี่ยนแปลงผู้จัดการทีมอีกครั้ง ทำให้เขากลับมาเป็นผู้เล่นในแผนการทำทีมของ เกล็นน์ โรเดอร์ กุนซือคนใหม่ และยืนยันที่จะไม่ปล่อยตัวเขาออกจากทีม แม้ว่าจะมีข้อเสนอจากทาง แอสตัน วิลล่า ถึง 4 ล้านปอนด์ (ประมาณ 213 ล้านบาท) แต่ทางสโมสรได้ปฏิเสธข้อเสนอนี้และเรียกตัวเขากลับมาสู่ทีม
ประวัติ เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสรนิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด
ฤดูกาล 2006-2008
เกล็นน์ โรเดอร์ ผู้เล่นผู้จัดการทีมของ นิวคาสเซิ่ล มีแนวโน้มที่ดีกับตัวของ มิลเนอร์ ในการกลับมาเล่นในฤดูกาล 2006-07 แม้ว่าผลงานในลีกของเขากับทีมอาจจะไม่ดีนัก แต่เขาเป็นคีย์แมนในการพาทีมผ่านเข้ารอบแบ่งกลุ่ม ยูฟ่า คัพ ในขณะที่เขามีข่าวลือค่อนข้างหนักเกี่ยวกับการซื้อ-ขายในช่วงตลาดหน้าหนาวเดือนมกราคม
ในวันที่ 1 มกราคม 2007 มิลเนอร์ ซัดประตูแรกของฤดูกาลในเกมที่เสมอกับ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2-2 จากการยิงไกลกว่า 25 หลา ซึ่งต่อมา โรเดอร์ ค่อนข้างยกย่องในความพยายามของ มิลเนอร์ เป็นอย่างมากจากการฝึกซ้อมอย่างหนัก และเชื่อว่าเขาเป็นนักเตะที่ทุ่มเทในเวลาซ้อมมากที่สุด โดยเขาได้รับการต่อสัญญาเพิ่มไปถึงปี 2011 ในเดือนพฤษภาคม 2007
เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสรแอสตัน วิลล่า
ฤดูกาล 2008-2010
มิลเนอร์ เซ็นสัญญาร่วมทัพกับ แอสตัน วิลล่า เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2008 ด้วยค่าตัวราว ๆ 12 ล้านปอนด์ (ประมาณ 638 ล้านบาท) ด้วยระยะเวลาสัญญายาวนานกว่า 4 ปี โดยเขาลงสนามเป็นเกมแรกในวันที่ 31 สิงหาคม 2008 ซึ่งลงสนามเป็นตัวสำรองในเกมที่พบกับ ลิเวอร์พูล
ในช่วงฤดูกาล 2009-10 มิลเนอร์ ถูกโยกไปเล่นในตำแหน่งมิดฟิลด์ตัวกลาง หลังจากที่กัปตันทีมอย่าง แกเร็ธ แบร์รี่ ย้ายไปร่วมทัพ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ซึ่งหลังจากจบฤดูกาล เขาทำประตูไปทั้งสิ้น 12 ลูกและถูกโหวตให้เป็นนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีจากผลโหวตของแฟนบอลและรางวัล ผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีจากการโหวตของ พีเอฟเอ (สมาคมนักฟุตบอลอาชีพ)
เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2010 แมนเชสเตอร์ ซิตี้ ยื่นข้อเสนอซื้ตัว มิลเนอร์ ด้วยจำนวนเงินกว่า 20 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,064 ล้านบาท) แต่ก็ถูกปฏิเสธไป จนกระทั่งในวันที่ 14 สิงหาคม แอสตัน วิลล่า ได้ตัดสินใจปล่อยตัวเขาให้กับ “เรือใบสีฟ้า” หลังจากที่ มาร์ติน โอ’นีลล์ พูดกับ มิลเนอร์ ว่า เขาเหมาะสมแล้วที่จะไปเล่นในสโมสรที่ใหญ่กว่าและควรไปเล่นให้กับ “ซิตี้”
เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้
ฤดูกาล 2010-2015
วันที่ 17 สิงหาคม 2010 มีรายงานว่า แอสตัน วิลล่า ได้ตกลงค่าตัวของ มิลเนอร์ กับ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แล้วและกำลังจะเข้ารับการตรวจร่างกาย ซึ่งคาดว่าค่าตัวน่าจะอยู่ที่ราว ๆ 26 ล้านปอนด์ (ประมาณ 1,383 ล้านบาท) โดยมีการส่ง สตีเฟ่น ไอร์แลนด์ เป็นส่วนหนึ่งในเงื่อนไขการย้ายครั้งนี้อีกด้วย
มิลเนอร์ ลงสนามเปิดตัวอย่างเป็นทางการกับ “ซิตี้” เมื่อวันที่ 23 สิงหาคม 2010 ในเกมที่เปิดบ้านเอาชนะ ลิเวอร์พูล 3-0 ส่วนประตูแรกของเขากับทีมใหม่ในศึกพรีเมียร์ลีก เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 24 กันยายน 2011 เป็นการพบกับทีม เอฟเวอร์ตัน โดยฤดูกาลนั้นเขาลงสนามในลีกให้กับทีมถึง 26 เกมและยังเป็นส่วนหนึ่งให้ทีมความแชมป์ลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกในรอบ 44 ปีอีกด้วย
หลังจบฤดูกาล 2014-15 เขาหมดสัญญากับทางสโมสร แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และเป็นทางด้านของ ลิเวอร์พูล ที่ดึงตัวเขามาร่วมทัพในวันที่ 4 มิถุนายน 2015
เจมส์ มิลเนอร์ กับสโมสรลิเวอร์พูล
ฤดูกาล 2015-2017
มิลเนอร์ได้ย้ายจากแมนเชสเตอร์ซิตี้มาสู่ลิเวอร์พูลแบบไม่มีค่าตัว เนื่องจากหมดสัญญา โดยมิลเนอร์ได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ในวันที่ 7 สิงหาคม ปีเดียวกัน มิลเนอร์ได้มีการแต่งตั้งให้เป็นรองกัปตันทีม ในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 2015 มิลเนอร์ สวมปลอกแขนกัปตันทีมลิเวอร์พูลนัดแรกแทน จอร์แดน เฮนเดอร์สัน จบฤดูกาล มิลเนอร์ ยิงประตูในพรีเมียร์ลีกรวม 5 ประตู ต่อมาฤดูกาล 2016-2017 จบฤดูกาล มิลเนอร์ยิงประตูในพรีเมียร์ลีก 7 ประตูจาก 36 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับที่ 4 และคว้าโควต้าแชมเปียนส์ลีก ในฤดูกาลหน้าได้สำเร็จ
ต่อมาฤดูกาล 2016-2017 มิลเนอร์ทำประตูแรกในฤดูกาลในรายการ FA CUP ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 ได้สำเร็จ ต่อมาในรายการ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก มิลเนอร์จ่ายบอลให้ โรแบร์ตู ฟีร์มีนู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ โรมา ทำให้ มิลเนอร์เป็นนักเตะคนแรกในประวัติศาสตร์ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีกทีทำ 9 แอสซิสต์ในฤดูกาลเดียว
ฤดูกาล 2018-2022
วันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 2018 มิลเนอร์ทำประตูแรกในพรีเมียร์ลีก ทำให้ มิลเนอร์เป็นนักเตะคนแรกที่ทำ 8 ประตูติดต่อกันในพรีเมียร์ลีกจากการสังหารจุดโทษ ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 2018 มิลเนอร์ เป็นนักเตะคนที่ 13 ที่ลงสนามครบนัดที่ 500 ในพรีเมียร์ลีก นัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ บอร์นมัท ในวันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 2019 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลิเวอร์พูล เจอกับ ทอตนัมฮอตสเปอร์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก สมัยที่ 6 ได้สำเร็จ
ต่อมา ฤดูกาล 2019-2020 ในวันที่ 14 สิงหาคม ค.ศ. 2019 ในรายการยูฟ่าซูเปอร์คัพ ลิเวอร์พูล เจอกับ เซลชี สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 5-4 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าซูเปอร์คัพ สมัยที่ 4 ได้สำเร็จ ในวันที่ 13 ธันวาคม ค.ศ. 2019 มิลเนอร์ตัดสินใจต่อสัญญากับสโมสรลิเวอร์พูล ไปจนถึงปี 2022 ต่อมาในรายการ ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก ลิเวอร์พูล เจอกับ ฟลาเม็งกู ตัวแทน คอนเมบอล สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟลาเม็งกู ในช่วงต่อเวลาพิเศษ 1-0 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ฟุตบอลชิงแชมป์สโมสรโลก สมัยแรกได้สำเร็จ จบฤดูกาล มิลเนอร์ช่วยให้ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์พรีเมียร์ลีกครั้งแรกในรอบ 30 ปีได้สำเร็จ และเป็นแชมป์พรีเมียร์ลีกสมัยที่ 3 ของมิลเนอร์อีกด้วย
ต่อมาฤดูกาล 2021-2022 ในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2022 อีเอฟแอลคัพ 2022 นัดชิงชนะเลิศ ลิเวอร์พูล เจอกับ เชลซี ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ สุดท้าย ลิเวอร์พูล เอาชนะ เชลซี ในการดวลจุดโทษ 11-10 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล
ติดตามข่าวสารลิเวอร์พูลได้ที่ :: ลิเวอร์พูล
Facebook fanpage :: Liverpoolarea